คนไทยรู้จักบันทึก “สำเภากษัตริย์สุลัยมาน” (Ship of Sulaiman) มานานในฐานะแหล่งข้อมูลสำคัญว่าด้วยความสัมพันธ์สยาม–เปอร์เซียในคริสต์ศตวรรษที่ 17 แต่ล่าสุดมีการค้นพบต้นฉบับเปอร์เซียโบราณ “Ship of Mazandarani” ที่เขียนขึ้นก่อนบันทึกสำเภากษัตริย์สุลัยมาน ถึง 12 ปี!
ในการบรรยายพิเศษหัวข้อ New Evidence about the history of Siam in the 17th century: New People, New Life, and New Culture โดย ดร. มาจิด ดาเนชการ์ รองศาสตราจารย์ประจำสาขาการศึกษาภูมิภาคมหาวิทยาลัยเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น และนักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์ศาสนา อิสลามศึกษา และเอกสารเปอร์เซียโบราณ ซึ่งจัดโดยศูนย์เอเชียใต้ศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เขาได้นำเสนอหลักฐานใหม่ Ship of Mazandarani เอกสารต้นฉบับ (Manuscript) หมายเลข 2335 ปัจจุบันอยู่ในคอลเลกชันของหอสมุดรัฐสภาอิหร่าน กรุงเตหะราน
ดร.ดาเนชการ์ชี้ให้เห็นถึง “ช่องว่างทางประวัติศาสตร์” เกี่ยวกับชาวเปอร์เซียในสยามระหว่าง ค.ศ. 1670 ถึงช่วงต้นของ ค.ศ. 1680s ซึ่งเป็นช่วงเวลาก่อนที่ความสัมพันธ์ระหว่างสยามและเปอร์เซียในระดับรัฐจะเฟื่องฟู นำไปสู่การมาถึงกรุงสยามของคณะราชทูตจากกษัตริย์สุลัยมานแห่งราชวงศ์ซาฟาวิด (Safavid) ช่วงปลายรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช และกลายเป็นที่มาของบันทึกสำเภากษัตริย์สุลัยมานที่เรารู้จักกันในปัจจุบัน
แตกต่างจากข้อมูลในบันทึกสำเภากษัตริย์สุลัยมานที่เน้นให้ข้อมูลเกี่ยวกับการทูตและเรื่องในสยาม Ship of Mazandarani ฉายภาพกิจกรรมการเผยแพร่วัฒนธรรมเปอร์เซียแขนงต่างๆ ในสยามในศตวรรษที่ 17 ทั้งหัวข้อ รูปแบบวิธีการ และบุคคลที่เกี่ยวข้อง และที่สำคัญคือเอกสารนี้เป็นต้นฉบับตัวจริง ไม่ใช่ฉบับที่ถูกคัดลอกเพื่อเผยแพร่ในภายหลัง เห็นได้จากหลักฐานที่ระบุชื่อผู้เขียน ช่วงเวลาและสถานที่เขียนไว้ละเอียดชัดเจน ทั้งถูกเขียนขึ้นในอิหร่าน อินเดีย ตะนาวศรี สยาม มีแม้กระทั่งข้อความที่ระบุชัดว่าถูกเขียนขึ้น ณ Shahr-i Naw ซึ่งเป็นคำที่ชาวเปอร์เซียใช้เรียกกรุงศรีอยุธยาในคริสต์ศตวรรษที่ 17
ข้อมูลที่มีบ่งชี้ว่า Ship of Mazandarani เป็นของมูฮัมหมัด ทากี มาซานดารานี (Muhammad Taqi Mazandarani) ซึ่งเป็นทั้งผู้บันทึก ผู้คัดลอกเรียบเรียงและรวบรวมเนื้อหาจากนักเขียนคนอื่นๆ เนื้อหาในเล่มประกอบไปด้วยข้อเขียนหลายประเภท บ้างเป็นบทกวี บ้างเป็นเรื่องเล่า บันทึกและวรรณกรรม ครอบคลุมประเด็นวัฒนธรรม ปรัชญา เทววิทยา ศีลธรรมและการศาสนาของชาวเปอร์เซีย รายชื่อกวีชั้นครูของเปอร์เซียกว่า 30 รายและผลงานก็ได้รับการกล่าวถึงในเล่มเช่นกัน อาทิ Ferdowsi, Hafiz, Jami และ Wahshi Bafghi ทั้งนี้ก็เป็นไปเพื่อจุดประสงค์ในการส่งเสริมวัฒนธรรมเปอร์เซียอย่างชัดเจน
ที่สำคัญข้อเขียนเหล่านั้นยังถูกบันทึกในรูปแบบอักษรวิจิตรเปอร์เซียและอิสลามหลายรูปแบบ เช่น นัสตาลีค (Nastaliq), เชกัสเต (Shekaste), นัสค (Naskh) และตาลีค (Taliq) ซึ่งบ่งบอกว่ามีผู้คัดลอกอักษรวิจิตรชั้นครูและกลุ่มผู้คัดลอกมืออาชีพในสยามที่ถูกจ้างมาเพื่อทำงานนี้
ดร.ดาเนชการ์ยังเผยเพิ่มเติมถึงประเด็นศาสนาที่ปรากฏใน Ship of Mazandarani ซึ่งสะท้อนถึงบรรยากาศ ความเคลื่อนไหวด้านศาสนาของชาวเปอร์เซียในสยาม มีทั้งบทคัดลอกร้อยแก้วและร้อยกรองว่าด้วยคำสอนเกี่ยวกับ 12 อิหม่าม บันทึกคำกล่าวสรรเสริญท่านอาลี (Ali) ทั้งยังกล่าวถึงวัฒนธรรม Ta'ziya ซึ่งเป็นพิธีสำคัญของชาวมุสลิมนิกายชีอะห์ จัดขึ้นเพื่อรำลึกถึงการเสียสละของอิหม่ามฮุเซนในอดีต เหล่านี้ล้วนฉายภาพการส่งเสริมและเผยแพร่ศาสนาอิสลามนิกายชีอะห์ในสยามอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งยังอาจชี้ได้ว่าสยามในคริสต์ศตวรรษที่ 17 เป็นพื้นที่ที่มีการแลกเปลี่ยนทางความคิดด้านศาสนาได้อย่างเปิดกว้าง และไม่ถูกกีดกั้นใดๆ
การเผยแพร่วัฒนธรรมเปอร์เซียที่ปรากฏใน Ship of Mazandarani เป็นไปอย่างมีระบบระเบียบ ซึ่ง ดร.ดาเนชการ์เสนอว่านี่อาจเป็นกลวิธีเดียวกับที่อินเดียเผยแพร่วัฒนธรรมออกสู่โลก เพื่อขยายอิทธิพลเปอร์เซียในดินแดนอื่นหรือไม่อย่างไร หากไม่ว่าจะอย่างไร Ship of Mazandarani ก็บอกให้เรารู้ว่าวัฒนธรรมเปอร์เซียในสยามได้หยัดราก เติบโตและแผ่ขยายต่อเนื่องมาเนิ่นนาน ก่อนที่สมเด็จพระนารายณ์จะทรงส่งราชทูตจากสยามไปกรุงเปอร์เซียใน ค.ศ. 1682 และก่อนที่กษัตริย์สุลัยมานจะทรงสนองพระราชไมตรีส่งคณะราชทูตเปอร์เซียมายังสยามในอีกไม่กี่ปีถัดมา
ในขณะเดียวกัน Ship of Mazandarani ยังสะท้อนถึงมุมมองของนักเดินทางชาวเปอร์เซียที่เห็นว่าสยามคือจุดหมายปลายทางที่มั่นคง ไม่ใช่แค่เมืองท่าสำหรับพักอยู่ชั่วครั้งคราว แต่เป็นศูนย์กลางทางการค้าและวัฒนธรรม เป็นชุมชนที่มีชีวิตชีวาและทรงอิทธิพลในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มายาวนานก่อนการมาถึงของมหาอำนาจอาณานิคมตะวันตกในเวลาต่อมา
.
ในภาคบ่ายของการบรรยาย ดร.มาจิด ดาเนชการ์ ได้พาผู้ฟังเปิดโลกเอกสารโบราณผ่านหัวข้อ “Southeast Asian Materials in Three Book Cabinets at Cambridge University Library” สำรวจตู้หนังสือหายากของหอสมุดมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ซึ่งบรรจุต้นฉบับจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงประเทศไทย เมียนมา และอินโดนีเซีย โดยบางส่วนถือเป็นงานเขียนชุดแรกๆ ที่เดินทางมาถึงยุโรป
ตู้หนังสือทั้งสาม ได้แก่
• ตู้เออร์เพนิอุส (Erpenius Cabinet) ศตวรรษที่ 17
• ตู้ลูอิส (Lewis Cabinet) ศตวรรษที่ 18
• ตู้สก็อต (Scott Cabinet) ศตวรรษที่ 19
ดร.ดาเนชการ์อธิบายว่า ตู้เหล่านี้ไม่เพียงเก็บหนังสือ แต่ยังรวบรวมพืช ตัวอย่างทางการแพทย์และพฤกษศาสตร์ และวัตถุจากตะวันออก จึงมีคุณค่าทางวิชาการและวัฒนธรรมอย่างสูง โดยเฉพาะ ตู้เออร์เพนิอุส ที่เชื่อมโยงกับ โธมัส เออร์เพนิอุส (Thomas Erpenius) นักตะวันออกศึกษาและนักภาษาศาสตร์ชาวดัตช์ ผู้บุกเบิกการศึกษาเอกสารเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างเป็นระบบในยุโรป และเป็นคนแรกที่บุกเบิกสาขาวิชาภาษาอาหรับ และภาษาตะวันออก (Oriental Languages) อื่นๆ เช่น เปอร์เซีย และฮีบรู
เออร์เพนิอุสเชื่อว่าการศึกษาต้นฉบับภาษาอิสลามและภาษาตะวันออกอื่นๆ สำคัญไม่แพ้ภาษาละตินหรือกรีก เพราะความเข้าใจโลกอย่างแท้จริงเกิดจากการเรียนรู้ภาษา ผลลัพธ์ของความมุ่งมั่นนี้นำไปสู่หนึ่งในคอลเลกชันต้นฉบับโบราณที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ครอบคลุมทั้งภาษาอาหรับ มลายู เปอร์เซีย ตุรกี ฮีบรู และภาษาอื่นๆ เนื้อหาในตู้เออร์เพนิอุสมีความหลากหลายตั้งแต่วรรณกรรม วิทยาศาสตร์ ศาสนา ไปจนถึงปรัชญา แสดงให้เห็นถึงแนวคิดการศึกษาข้ามวัฒนธรรมที่เปิดรับเอกสารอิสลามและเอเชียเคียงข้างวรรณกรรมยุโรปและพระคัมภีร์
การบรรยายของดร.ดาเนชการ์ครั้งนี้จึงไม่เพียงพาผู้ฟังสำรวจ “ตู้หนังสือ” อันทรงคุณค่า แต่ยังเชื่อมโยงให้เห็นรากฐานความรู้และเครือข่ายของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กับยุโรปตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 อีกด้วย
สำหรับผู้ที่สนใจสืบค้นต้นฉบับและเอกสารโบราณหายากในยุโรปและประเทศอื่น ๆ ดร. ดาเนชการ์ได้แนะนำลิงก์ดังต่อไปนี้
.............................