ต่อมาเมื่อเมืองพระนครเสื่อมถอย อำนาจและอิทธิพลย้ายไปยังเมืองอื่น เช่น ละแวก และอุดงค์มีชัย
"เขมรสมัยหลังพระนคร" โดย รศ.ศานติ ภักดีคำ อธิบายบทบาทของเมืองเหล่านี้ในฐานะราชธานีของกัมพูชาในยุคหลังนครวัด ซึ่งมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับสยาม โดยเฉพาะในช่วงกรุงศรีอยุธยาและต้นรัตนโกสินทร์
ขณะที่
“กัมพุชสถานนามในเอกสารประวัติศาสตร์ไทย” มีเนื้อหาแสดงให้เห็นร่องรอยความสัมพันธ์ผ่าน “สถานนาม” หรือชื่อสถานที่ต่าง ๆ ในกัมพูชาที่ปรากฏในเอกสารประวัติศาสตร์ไทย ทั้งศิลาจารึก จดหมายเหตุ และพงศาวดาร เช่น คำว่า จตุมุข หรือ บันทายแก้ว ซึ่งหมายถึงพนมเปญในปัจจุบัน
ภาพของความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชาในประวัติศาสตร์ยังสะท้อนผ่านความขัดแย้งทางการเมืองการปกครอง หนังสือ
"เขมรรบไทย" นำเสนอประวัติศาสตร์สงครามระหว่างทั้งสองชาติ ตั้งแต่ก่อนกรุงศรีอยุธยาไปจนถึงรัตนโกสินทร์ จุดเด่นอยู่ที่การใช้แหล่งข้อมูลจากทั้งไทยและเขมร ช่วยให้เข้าใจทัศนะที่แตกต่าง โดยเฉพาะมุมมองของกัมพูชา
นอกจากนี้ หนังสือ
“History of Thailand & Cambodia, from the days of Angkor to the present” นำเสนอภาพรวมของความสัมพันธ์ระหว่างไทยและกัมพูชา ตั้งแต่ยุคตั้งอาณาจักร ผ่านช่วงเวลาของความรุ่งเรืองและการล่มสลายของนครวัด ตลอดจนความขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่างไทย กัมพูชา และเวียดนามในเวลาต่อมา เนื้อหาส่วนหนึ่งเน้นการวิเคราะห์บทบาทของฝรั่งเศสที่เริ่มเข้ามาเกี่ยวข้องในศตวรรษที่ 19-20 ทั้งในแง่ของการเป็นรัฐในอารักขา สนธิสัญญา และข้อพิพาทด้านดินแดนกับไทย
ทั้งนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างไทยและกัมพูชายังคงเผชิญกับความเปราะบาง
“Facts about the relations between Thailand and Cambodia” นำเสนอข้อเท็จจริงเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ ซึ่งจัดทำขึ้นโดยกระทรวงการต่างประเทศของไทย โดยมีเป้าหมายเพื่อชี้แจงสถานการณ์หลังจากที่กัมพูชาตัดสินใจระงับความสัมพันธ์ทางการทูตกับไทยในปี 1958 เอกสารดังกล่าวระบุว่าความตึงเครียดในความสัมพันธ์เป็นผลจากการกระทำของฝ่ายกัมพูชาและผู้นำของประเทศนั้น ขณะเดียวกัน ไทยได้แสดงความพยายามในการรักษาสันติภาพและคลี่คลายความขัดแย้งอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังมีภาคผนวกที่ประกอบด้วยเอกสารและจดหมายทางการหลายฉบับที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ทวิภาคีและการสื่อสารกับองค์การสหประชาชาติในช่วงปี 1958-1961 ซึ่งแสดงให้เห็นถึงมุมมองของไทยต่อเหตุการณ์เหล่านั้นอย่างละเอียด
ความทรงจำ สื่อ และการรับรู้ที่ถูกกำกับ
ความขัดแย้งทางประวัติศาสตร์และพรมแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา ไม่ได้ดำรงอยู่เพียงแค่ในเอกสารหรือเวทีการทูต หากยังฝังรากอยู่ในความทรงจำ สะท้อนออกมาผ่านสื่อ เรื่องเล่า และวาทกรรมในสังคม การสำรวจภาพจำที่ก่อตัวขึ้นจึงเป็นอีกหนึ่งมุมสำคัญในการทำความเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ
ในอีกด้านหนึ่ง สื่อกัมพูชาก็มีบทบาทคล้ายกัน งานวิจัย
“CAMBODIAN NEWSPAPER' S REPORTING ON TERRITORIAL DISPUTESWITH THAILAND AND VIETNAM” วิเคราะห์การเสนอข่าวในช่วงการเลือกตั้งของกัมพูชา โดยพบว่าข้อพิพาทเกี่ยวกับปราสาทพระวิหารมักถูกหยิบมาใช้เป็นเครื่องมือปลุกกระแสชาตินิยมในประเทศ การศึกษานี้สะท้อนให้เห็นว่าสื่อทั้งสองฝ่ายต่างมีบทบาทในการผลิตซ้ำและขับเน้นความรู้สึกทางการเมืองและประวัติศาสตร์ ซึ่งยังคงส่งอิทธิพลต่อการรับรู้และท่าทีของประชาชนในแต่ละประเทศ
สังคมและการเมืองกัมพูชาร่วมสมัย
แม้ประเด็นประวัติศาสตร์ และข้อพิพาทชายแดนจะยังคงมีอิทธิพลต่อความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชา แต่การทำความรู้จักกัมพูชาในปัจจุบันจำเป็นต้องมองให้กว้างขึ้น ครอบคลุมถึงพลวัตทางสังคม การเมือง และศิลปวัฒนธรรม ที่เปลี่ยนแปลงท่ามกลางบริบทหลังสงครามและโลกาภิวัตน์
กัมพูชาเผชิญความรุนแรงทางการเมืองมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงสงครามกลางเมือง หรือบางครั้งเรียกว่าการปฏิวัติเขมร ความขัดแย้งไม่ได้จบลงทันทีหากแต่ดำเนินต่อในรูปแบบของการต่อสู้ระหว่างกลุ่มกบฏต่าง ๆ กับรัฐ และทิศทางของประเทศในยุคหลังความรุนแรงนั้นยังคงได้รับอิทธิพลจากอดีต
หนังสือ
“The Social Order of Post conflict Transformation in Cambodia: Insurgent Pathways to Peace” ศึกษาประวัติศาสตร์ความขัดแย้งดังกล่าว โดยมุ่งวิเคราะห์ภูมิหลังของนักรบและผู้บัญชาการจากกลุ่มติดอาวุธต่าง ๆ เพื่อทำความเข้าใจว่าหนทางสู่สันติภาพถูกหล่อหลอมอย่างไรจากประสบการณ์ ความเชื่อ และความสัมพันธ์ทางสังคมของพวกเขา หนังสือเล่มนี้เสนอแนวคิดใหม่ต่อกระบวนการลดอาวุธ ปลดประจำการ และส่งตัวกลับ (Disarmament, Demobilization, and Reintegration – DDR) โดยเน้นว่าหากต้องการสันติภาพที่ยั่งยืน ปัจจัยทางสังคมมีบทบาทสำคัญไม่น้อยกว่ากลไกทางเทคนิค การศึกษานี้ยังให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับสภาพสังคมของกลุ่มก่อความไม่สงบที่เข้าร่วมสงครามกลางเมืองหลังการล่มสลายของระบอบเขมรแดงในปี 1979 ซึ่งยังคงส่งอิทธิพลอย่างลึกซึ้งต่อการเมืองกัมพูชาจนถึงปัจจุบัน
มิติของความขัดแย้งและการปรับตัวในกัมพูชายังสะท้อนผ่านชีวประวัติของผู้นำทางการเมืองที่มีบทบาทสูงสุดอย่าง “ฮุน เซน” หนังสือ
Strongman: The Extraordinary Life of Hun Sen ถ่ายทอดประวัติชีวิตของเขาตั้งแต่วัยเยาว์ ชะตากรรมพลิกผันของครอบครัว ไปจนถึงชีวิตส่วนตัวกับคู่ครอง บุน รานี ทั้งยังวิเคราะห์เส้นทางการเข้าร่วมกองกำลังเขมรแดง บทบาทรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ไปจนถึงการขึ้นสู่อำนาจสูงสุด ฮุน เซน จึงเป็นสัญลักษณ์หนึ่งของการเปลี่ยนผ่านจากระบอบปฏิวัติ สู่รัฐที่มีโครงสร้างอำนาจแบบใหม่ ซึ่งหลายครั้งถูกวิพากษ์ในเรื่องประชาธิปไตยและสิทธิเสรีภาพ
ในบริบทของการสร้างประชาธิปไตย หนังสือ
Intervention & Change in Cambodia: Towards Democracy? โดย Sorrpong Peou นำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับความพยายามอันไม่ราบรื่น การล้มลุกคลุกคลาน และความไม่แน่นอนของกัมพูชาในการก้าวสู่ระบอบประชาธิปไตยตลอดช่วงห้าทศวรรษที่ผ่านมา Peou วิเคราะห์พัฒนาการด้านประชาธิปไตย ในช่วงระหว่างปี 1954–1998 และประเมินผลกระทบจากการแทรกแซงของต่างชาติที่มีต่อโครงสร้างรัฐและสังคมของกัมพูชา ในบทสุดท้าย Peou ได้สรุปข้อค้นพบของตนในเชิงทฤษฎี และปิดท้ายด้วยภาคผนวกซึ่งรวมเอกสารสำคัญ อาทิ สนธิสัญญาสันติภาพปารีส (ปี 1991) รัฐธรรมนูญ และกฎหมายการเลือกตั้ง

นอกจากมุมการเมืองและสงคราม การทำความเข้าใจกัมพูชาร่วมสมัยยังต้องพิจารณามิติทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมร่วมด้วย หนังสือ
The Handbook of Contemporary Cambodia ทำหน้าที่เป็นแหล่งข้อมูลครอบคลุมที่รวมบทวิเคราะห์จากหลากหลายสาขาวิชา ช่วยให้เห็นภาพชีวิตของประชาชนที่เปลี่ยนแปลงไปภายใต้เงื่อนไขโลกาภิวัตน์
ในอีกด้านหนึ่ง
"Cultural Renewal in Cambodia : academic activism in the neoliberal era" เปิดพื้นที่ให้เราเห็นการฟื้นฟูทางวัฒนธรรมในสังคมหลังความขัดแย้ง โดยชี้ให้เห็นบทบาทของโครงการวิชาการและองค์กรอิสระในกัมพูชา ซึ่งพยายามนำเสนอกระบวนทัศน์การพัฒนาแบบทางเลือก อย่างไรก็ตาม ความพยายามนี้กลับต้องเผชิญกับข้อจำกัดบนกรอบแนวคิดแบบเสรีนิยมใหม่ (Neoliberal Framework) ที่ผู้ให้ทุนและสถาบันจากประเทศซีกโลกเหนือ (Global North) มักมีบทบาทครอบงำในนามของความช่วยเหลือต่อประเทศซีกโลกใต้ (Global South)
อีกประเด็นที่ไม่อาจมองข้าม คือการเข้าใจความเปลี่ยนแปลงของกัมพูชาปัจจุบันในฐานะประเทศที่ผ่านพ้นสงคราม จำเป็นต้องมองลึกไปถึงระดับความทรงจำร่วมของสังคม หนังสือ
Landscape, Memory and Post-Violence in Cambodia เสนอแนวคิดเกี่ยวกับภาวะหลังความรุนแรง ที่ชี้ให้เห็นว่าบาดแผลจากสงครามไม่ได้จบลงพร้อมกับเสียงปืน หากแต่ยังคงปรากฏอยู่ในภูมิทัศน์ วัฒนธรรม และพิพิธภัณฑ์ที่เป็นพื้นที่ของการต่อสู้เชิงความทรงจำ หนังสือเล่มนี้ชวนตั้งคำถามว่ารัฐกำลังเลือกเล่าเรื่องอดีตอย่างไร โดยยกตัวอย่างกรณีเนื้อหาที่นำเสนอในพิพิธภัณฑ์การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ตวลสเลง และทุ่งสังหาร และชวนมองต่อว่าประชาชนมีกี่ทางเลือกในการบอกเล่าความทรงจำของตนเอง
วรรณกรรมและศิลปะ เล่าขานอดีตและจินตนาการถึงอนาคต
นอกเหนือจากการฟื้นฟูโครงสร้างรัฐและสังคมหลังความรุนแรงแล้ว กัมพูชายังมีพัฒนาการทางศิลปะและวรรณกรรมที่น่าสนใจ ซึ่งไม่เพียงเป็นเครื่องมือในการเยียวยาบาดแผลจากสงคราม หากยังกลายเป็นเวทีสำคัญในการตีความอดีตและกำหนดทิศทางข้างหน้า
มิติของวรรณกรรมยังเผยให้เห็นการต่อรองเชิงอัตลักษณ์ โดยเฉพาะเรื่องเพศภาวะ วิทยานิพนธ์
“แนวคิดเรื่องกุลสตรีในนวนิยายของนักเขียนสตรีเขมร” ศึกษาการนิยามและนำเสนออุดมคติความเป็นหญิงในบริบทหลังสงคราม โดยเปรียบเทียบนวนิยายของ เมา สำณาง และ ปัล วัณณารีรักษ์ ซึ่งแสดงให้เห็นพัฒนาการของแนวคิดกุลสตรีที่ผันแปรไปตามเงื่อนไขทางสังคมและประวัติศาสตร์
ขณะเดียวกัน บนเวทีศิลปะร่วมสมัยระดับภูมิภาค “
South East Asian Art: A New Spirit” นำเสนอศิลปะจาก 9 ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงกัมพูชา โดยแสดงให้เห็นพลังของศิลปะในฐานะพื้นที่สร้างสรรค์ที่ผสานความทรงจำทางประวัติศาสตร์เข้ากับจินตนาการใหม่ทางวัฒนธรรม งานศิลปะของศิลปินกัมพูชาหลายรายตั้งคำถามต่ออดีตและสะท้อนถึงความหวังในอนาคต
อีกแง่มุมของศิลปะร่วมสมัยที่น่าสนใจคือวงการภาพยนตร์ โดยเฉพาะหนังผีซึ่งเป็นที่นิยมทั้งในและนอกภูมิภาค หนังสือ “
Ghost Movies in Southeast Asia and Beyond” มีเนื้อหาว่าด้วยการวิเคราะห์หนังผีในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มิได้มีเพียงหน้าที่ให้ความบันเทิงหรือสะท้อนความเชื่อเรื่องภูตผี แต่ยังทำหน้าที่เป็นพื้นที่ความทรงจำทางสังคม การจัดการกับอดีต และการปะทะกันระหว่างศรัทธาแบบดั้งเดิมกับโลกสมัยใหม่
บทความนี้นำเสนอทรัพยากรสารสนเทศบางส่วนจากห้องสมุด โดยเฉพาะจาก Thailand and ASEAN Information Center (TAIC) เพื่อเปิดมุมมองต่อความสัมพันธ์ไทย–กัมพูชาในหลายมิติ ตั้งแต่กระบวนการทางกฎหมาย การทูต ภาพจำในสื่อ ไปจนถึงการเปลี่ยนแปลงภายในของสังคมกัมพูชา
ไม่ใช่ทุกประเด็นจะมีคำตอบที่ชัดเจน แต่การเปิดพื้นที่ให้ศึกษาข้อมูลเหล่านี้ คือจุดเริ่มต้นของการมองเห็นความหลากหลาย และอาจช่วยให้เราตั้งคำถามใหม่ ๆ ทั้งต่อ “เขา” และ “เรา” เพราะห้องสมุดคือพื้นที่กลางของการเรียนรู้ และการเข้าถึงข้อมูลอย่างรอบด้านคือกุญแจสำคัญสู่การอยู่ร่วมกันอย่างรู้เท่าทัน
ฐานข้อมูลของ TAIC ยังมีทรัพยากรอีกมากให้สำรวจ ทั้งในเชิงประวัติศาสตร์ การเมือง วัฒนธรรม และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในบริบทไทยและอาเซียน ซึ่งสามารถเป็นแหล่งข้อมูลสำคัญสำหรับการค้นคว้า วิจัย หรือทำความเข้าใจประเด็นเหล่านี้ด้วยมุมมองที่ลึกและกว้างกว่าเดิม
Reference document
คำสำคัญ : ASEAN and Regional Actors in the Indo-Pacific, ASEAN, Indo-Pacific, diplomacy, การเมือง, socialist, สังคมศึกษา, political, social studies, Southeast Asia, Thailand, Cambodia, กัมพูชา, book, TAIC Chula Library, TAIC Chula, Chulalongkorn University, new arrivals, ASEAN, Chula Library, geopolitical, foreign policy