สำนักงานวิทยทรัพยากร หอสมุดกลาง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย


4 สิงหาคม 2568

มอง ‘เขา’ ผ่าน ‘เรา’ ชวนสำรวจความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา ผ่าน คลังความรู้ร่วมสมัย

Banner Article about Thailand and Cambodia map
.
.
 
         ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศใกล้เคียงนั้นไม่ได้จำกัดอยู่เพียงประเด็นภูมิรัฐศาสตร์ หากยังผูกโยงลึกซึ้งกับรากแห่งอัตลักษณ์ และประสบการณ์ร่วมที่ทั้งส่งเสริมและท้าทายซึ่งกันและกัน ในกระแสเวลาแห่งความร่วมมือ ความขัดแย้ง และการแลกเปลี่ยนที่ซ้อนทับเรื่อยมา
 
         บทความนี้ชวนดูพลวัตความสัมพันธ์ไทย–กัมพูชา ผ่านทรัพยากรสารสนเทศบางส่วนจากฐานข้อมูลในห้องสมุด ซึ่งสะท้อนมิติทางประวัติศาสตร์ การเมือง ศิลปวัฒนธรรม และพัฒนาการร่วมสมัย เพื่อเปิดมุมมองในการเรียนรู้ ‘เขา’ และทบทวน ‘เรา’ อย่างรอบด้านและมีวิจารณญาณ
 
เขาพระวิหาร จากคำพิพากษาของศาลโลกสู่ข้อถกเถียงเรื่องพื้นที่ทับซ้อน
          เมื่อพูดถึงกัมพูชา หนึ่งในประเด็นหลักที่มักผุดขึ้นมาในความคิดของคนไทยคือข้อพิพาทเรื่องเขาพระวิหาร ย้อนไปเมื่อครั้งที่ฝรั่งเศสเข้ามาครอบครองอินโดจีน ได้มีการทำสนธิสัญญาปักปันเขตแดนกับสยาม ในปี 1904 โดยใช้สันปันน้ำเป็นเส้นแบ่งพรมแดน ซึ่งจากหลักการนี้ปราสาทพระวิหารควรอยู่ในดินแดนของไทย ต่อมาปี 1908 ฝรั่งเศสได้จัดทำแผนที่ระวางดงรัก มาตราส่วน 1:200,000 ขึ้นโดยไม่ได้ใช้สันปันน้ำเป็นเส้นแบ่งพรมแดน ทำให้ปราสาทพระวิหารในแผนที่อยู่ในดินแดนของกัมพูชา ประเด็นนี้ได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของข้อพิพาทที่นำไปสู่การพิจารณาคดีในศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) หรือ ศาลโลก ในปี 1962
 
          รายงาน “ข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงในการต่อสู้คดีปราสาทพระวิหารเมื่อปี 2505 (ค.ศ. 1962) และ 2556 (ค.ศ. 2013)” โดย เชิดชู รักตะบุตร อธิบายคำพิพากษาของศาลโลก ที่ตัดสินให้ปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชา ด้วยเหตุผลว่าไทยเคยใช้แผนที่ที่จัดทำโดยฝรั่งเศส ปี 1908 โดยไม่คัดค้านมาเป็นเวลานาน จึงถือว่าไทยรับรองแผนที่ดังกล่าวโดยปริยาย อย่างไรก็ตาม คำตัดสินครั้งนั้นไม่ได้ระบุชัดเจนถึงสถานะของพื้นที่โดยรอบปราสาท ทำให้ไทยยังคงอ้างสิทธิ์ในพื้นที่โดยรอบและยืนยันว่าเขตแดนในบริเวณนั้นยังไม่มีการปักปันอย่างเป็นทางการ
 
 
ภาพแผนที่ระวางดงรัก มาตราส่วน 1:200,000 ที่มา: International Court of Justice. (1909?).
แผนที่ระวางดงรัก มาตราส่วน 1:200,000
ที่มา: International Court of Justice. (1909?). 
(สามารถคลิกชมต้นฉบับในแบบขยายได้)
 
          ต่อมาจึงมีการจัดตั้งคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย - กัมพูชา (Joint Boundary Commission - JBC) ในปี 1997 เพื่อเป็นกลไกหลักในการเจรจาและการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกไทย-กัมพูชา และปี 2000 มีการจัดทำบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลกัมพูชาว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก อย่างไรก็ดี ในปี 2007 กัมพูชายื่นจดทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกฝ่ายเดียว ทำให้เกิดพื้นที่อ้างสิทธิ์ทับซ้อนประมาณ 4.6 ตารางกิโลเมตร เนื่องจากกัมพูชาต้องการกำหนดพื้นที่กันชนโดยรอบปราสาท องค์การยูเนสโกประกาศขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกตามคำขอของกัมพูชาในวันที่ 8 กรกฎาคม 2008 ทำให้สถานการณ์เข้าสู่สภาวะความตึงเครียดและมีการปะทะระหว่างกองกำลังของทั้งสองประเทศหลายครั้ง ทั้งบริเวณเขาพระวิหาร ด้านภูมะเขือ จ.ศรีสะเกษ และบริเวณพื้นที่กลุ่มปราสาทตาเมือนธม และปราสาทตาควาย จ.สุรินทร์
 
 
Temple of Preah Vihear ปราสาทพระวิหาร เป็นปราสาทหินตามแบบศาสนาฮินดูที่ตั้งอยู่บริเวณทิวเขาพนมดงรัก
 
ปราสาทพระวิหาร
 
ปราสาทตาเมือนธม Prasat Ta Muen Thom
 
ปราสาทตาเมือนธม
 
          ต่อมาปี 2011 กัมพูชายื่นคำร้องขอให้ศาลตีความคำพิพากษาในคดีปราสาทพระวิหารที่เคยได้ตัดสินไปแล้วโดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับ “พื้นที่รอบปราสาท” จนกระทั่งปี 2013 ศาลวินิจฉัยให้ไทยถอนกำลังจากบริเวณยอดเขาพระวิหาร แต่ไม่ได้ตัดสินครอบคลุมพื้นที่อื่นตามที่กัมพูชาเรียกร้อง รายงานฉบับนี้ไม่ได้ชี้ว่าใครถูกใครผิด แต่มุ่งให้เห็นถึงความซับซ้อนของการตีความอธิปไตยและเส้นเขตแดนภายใต้กระบวนการกฎหมายระหว่างประเทศ ซึ่งอาศัยทั้งข้อเท็จจริงและท่าทีของรัฐที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ ยังสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้จากหนังสือ กรณีพิพาทปราสาทพระวิหาร : บริบททางกฎหมายและการเมือง ซึ่งผู้เขียนได้รวบรวมเอกสารสำคัญต่าง ๆ ไว้อย่างเป็นระบบ เพื่อให้ผู้อ่านเข้าถึงข้อมูลที่แท้จริงและสามารถตรวจสอบความถูกต้องของประเด็นต่าง ๆ ได้อย่างรอบด้านและเป็นกลาง
 
          เพื่อเข้าใจจุดยืนของฝ่ายไทยมากขึ้น เอกสาร “Fact Book Thailand-Cambodia Border Issues: The Area Adjacent to the Temple of Phra Viharn and Other Areas, Including the Temples of Ta Muen and Ta Kwai” โดยกระทรวงการต่างประเทศ ระบุว่าไทยได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาปี 1962 โดยถอนกำลังออกจากตัวปราสาท แต่ข้อถกเถียงในปัจจุบันคือเส้นเขตแดนบริเวณรอบปราสาทยังไม่มีการปักปันอย่างเป็นทางการ ซึ่งจะต้องดำเนินการผ่านคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) ทั้งนี้ ไทยได้ประท้วงกิจกรรมของกัมพูชาในพื้นที่พิพาท เช่น การตั้งชุมชน และสิ่งปลูกสร้าง ซึ่งขัดต่อข้อตกลงที่ห้ามเปลี่ยนแปลงสภาพพื้นที่ก่อนกระบวนการปักปันจะเสร็จสิ้น
 
 
 
ภาพถ่ายทางอากาศของพื้นที่ปราสาทพระวิหาร (ได้รับความอนุเคราะห์จากกรมแผนที่ทหาร) ที่มา: (2008). Fact Book Thailand-Cambodia Border Issues: The Area Adjacent to the Temple of Phra Viharn and Other Areas, Including the Temples of Ta Muen and Ta Kwai Call. Ministry of Foreign Affairs of the Kingdom of Thailand.
 
ภาพถ่ายทางอากาศของพื้นที่ปราสาทพระวิหาร (ได้รับความอนุเคราะห์จากกรมแผนที่ทหาร)
ที่มา: (2008). Fact Book Thailand-Cambodia Border Issues:
The Area Adjacent to the Temple of Phra Viharn and Other Areas,
Including the Temples of Ta Muen and Ta Kwai Call.
Ministry of Foreign Affairs of the Kingdom of Thailand.
 
บันทึกช่วยจำ Aide-Memoire จัดทำโดย กระทรวงการต่างประเทศของไทย  เพื่อแสดงจุดยืนไม่เห็นด้วยต่อการที่กัมพูชาเสนอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกฝ่ายเดียว โดยไทยมีข้อกังวลเกี่ยวกับเส้นเขตแดนและการใช้เอกสารประกอบที่อาจกระทบต่ออธิปไตย
 
บันทึกช่วยจำ (Aide-Memoire) จัดทำโดย กระทรวงการต่างประเทศของไทย
เพื่อแสดงจุดยืนไม่เห็นด้วยต่อการที่กัมพูชาเสนอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกฝ่ายเดียว
โดยไทยมีข้อกังวลเกี่ยวกับเส้นเขตแดนและการใช้เอกสารประกอบที่อาจกระทบต่ออธิปไตย
ที่มา: (2008). Fact Book Thailand-Cambodia Border Issues: The Area Adjacent to the Temple of Phra Viharn and Other Areas,
Including the Temples of Ta Muen and Ta Kwai Call. Ministry of Foreign Affairs of the Kingdom of Thailand.
 
 
 
          นอกจากนี้ หนังสือ "Temple in the Clouds: Faith and Conflict at Preah Vihear" โดย John Burgess อดีตผู้สื่อข่าววอชิงตันโพสต์ นำเสนอแง่มุมเชิงลึกเกี่ยวกับกลยุทธ์ทางกฎหมายและเบื้องหลังการทูต โดยอ้างอิงข้อมูลจากเอกสารของทีมกฎหมายไทย รวมถึงท่าทีของสถานทูตสหรัฐฯ ทั้งในไทยและกัมพูชา ซึ่งมีมุมมองและท่าทีต่อคดีนี้ไม่ตรงกัน สะท้อนบริบทนโยบายต่างประเทศ และความตึงเครียดท่ามกลางบรรยากาศความขัดแย้งที่ขยายตัวในสื่อ
 
          ทว่าพรมแดนไม่ใช่เพียงเรื่องของรัฐกับรัฐ หากยังมีวิถีชีวิต “ประวัติศาสตร์ผู้คน บนเส้นพรมแดนเขาพระวิหาร” โดย ผศ.ดร.พิพัฒน์ กระแจะจันทร์ เสนอภาพพื้นที่ชายแดนบริเวณอำเภอกันทรลักษ์ของไทย และอำเภอจอมกระสานต์ของกัมพูชา ในฐานะ “พื้นที่ที่มีชีวิต” ไม่ใช่เพียงเส้นแบ่งทางกายภาพ แต่คือพื้นที่ของการค้า การแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม และการอยู่ร่วมกันของคนสองฝั่ง หนังสือเล่มนี้ชวนให้มองพรมแดนไม่ใช่เพียงเส้นแบ่งเขตแดน แต่เป็นพื้นที่ปฏิสัมพันธ์ที่ความหมายแปรเปลี่ยนไปตามกาลเวลาและการรับรู้ของผู้คน
 
มากกว่าเขาพระวิหาร ประวัติศาสตร์แห่งการรบและอยู่ร่วม
          ข้อพิพาทปราสาทพระวิหารเป็นเพียงส่วนหนึ่งของยอดของภูเขาน้ำแข็งแห่งความสัมพันธ์ที่ยาวนานระหว่างไทยกับกัมพูชา การทำความเข้าใจสถานการณ์จึงอาจต้องย้อนกลับไปพิจารณาความเป็นมาในอดีต ซึ่งทั้งสองอาณาจักรเคยมีทั้งความขัดแย้งและการพึ่งพิงกันมาต่อเนื่องหลายศตวรรษ
          ผลงานศึกษาคลาสสิกของนักวิชาการชาวฝรั่งเศสสองท่าน ศาสตราจารย์มาดแลน จิโต และศาสตราจารย์ยอร์ช เซเดส์ นำเสนอภาพของเมืองพระนครผ่านมุมมองทางประวัติศาสตร์และโบราณคดี "ประวัติเมืองพระนครของขอม" ว่าด้วยพัฒนาการของเมืองพระนครตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 15–19 ทั้งในด้านสถาปัตยกรรม ศาสนา และโครงสร้างรัฐ ส่วน "เมืองพระนคร นครวัด นครธม" โดย ศาสตราจารย์ยอร์ช เซเดส์ ขยายความเข้าใจด้านศิลปะและการเมืองของนครวัดและนครธม โดยอิงจากหลักฐานทางโบราณคดีที่ยังมีอิทธิพลต่อการศึกษาจนถึงปัจจุบัน
ลายเส้นสถาปัตยกรรมเขมรจากการเก็บข้อมูลของสำนักฝรั่งเศสแห่งปลายบูรพทิศ ในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 ที่มา: Delaporte, Louis. (1914). Les monuments du Cambodge; etudes d'architecture khmere. D'apres les documents recueillis au cours des missions qu'il a dirigees en 1873 et 1882-1883 et de la mission complementaire de M. Faraut en 1874-1875, vol.4.
ลายเส้นสถาปัตยกรรมเขมรจากการเก็บข้อมูลของสำนักฝรั่งเศสแห่งปลายบูรพทิศ ในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19
 
 
          ต่อมาเมื่อเมืองพระนครเสื่อมถอย อำนาจและอิทธิพลย้ายไปยังเมืองอื่น เช่น ละแวก และอุดงค์มีชัย "เขมรสมัยหลังพระนคร" โดย รศ.ศานติ ภักดีคำ อธิบายบทบาทของเมืองเหล่านี้ในฐานะราชธานีของกัมพูชาในยุคหลังนครวัด ซึ่งมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับสยาม โดยเฉพาะในช่วงกรุงศรีอยุธยาและต้นรัตนโกสินทร์
          ขณะที่ “กัมพุชสถานนามในเอกสารประวัติศาสตร์ไทย” มีเนื้อหาแสดงให้เห็นร่องรอยความสัมพันธ์ผ่าน “สถานนาม” หรือชื่อสถานที่ต่าง ๆ ในกัมพูชาที่ปรากฏในเอกสารประวัติศาสตร์ไทย ทั้งศิลาจารึก จดหมายเหตุ และพงศาวดาร เช่น คำว่า จตุมุข หรือ บันทายแก้ว ซึ่งหมายถึงพนมเปญในปัจจุบัน
          ภาพของความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชาในประวัติศาสตร์ยังสะท้อนผ่านความขัดแย้งทางการเมืองการปกครอง หนังสือ "เขมรรบไทย" นำเสนอประวัติศาสตร์สงครามระหว่างทั้งสองชาติ ตั้งแต่ก่อนกรุงศรีอยุธยาไปจนถึงรัตนโกสินทร์ จุดเด่นอยู่ที่การใช้แหล่งข้อมูลจากทั้งไทยและเขมร ช่วยให้เข้าใจทัศนะที่แตกต่าง โดยเฉพาะมุมมองของกัมพูชา
          นอกจากนี้ หนังสือ “History of Thailand & Cambodia, from the days of Angkor to the present” นำเสนอภาพรวมของความสัมพันธ์ระหว่างไทยและกัมพูชา ตั้งแต่ยุคตั้งอาณาจักร ผ่านช่วงเวลาของความรุ่งเรืองและการล่มสลายของนครวัด ตลอดจนความขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่างไทย กัมพูชา และเวียดนามในเวลาต่อมา เนื้อหาส่วนหนึ่งเน้นการวิเคราะห์บทบาทของฝรั่งเศสที่เริ่มเข้ามาเกี่ยวข้องในศตวรรษที่ 19-20 ทั้งในแง่ของการเป็นรัฐในอารักขา สนธิสัญญา และข้อพิพาทด้านดินแดนกับไทย
          ทั้งนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างไทยและกัมพูชายังคงเผชิญกับความเปราะบาง “Facts about the relations between Thailand and Cambodia”  นำเสนอข้อเท็จจริงเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ ซึ่งจัดทำขึ้นโดยกระทรวงการต่างประเทศของไทย โดยมีเป้าหมายเพื่อชี้แจงสถานการณ์หลังจากที่กัมพูชาตัดสินใจระงับความสัมพันธ์ทางการทูตกับไทยในปี 1958 เอกสารดังกล่าวระบุว่าความตึงเครียดในความสัมพันธ์เป็นผลจากการกระทำของฝ่ายกัมพูชาและผู้นำของประเทศนั้น ขณะเดียวกัน ไทยได้แสดงความพยายามในการรักษาสันติภาพและคลี่คลายความขัดแย้งอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังมีภาคผนวกที่ประกอบด้วยเอกสารและจดหมายทางการหลายฉบับที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ทวิภาคีและการสื่อสารกับองค์การสหประชาชาติในช่วงปี 1958-1961 ซึ่งแสดงให้เห็นถึงมุมมองของไทยต่อเหตุการณ์เหล่านั้นอย่างละเอียด
 
ความทรงจำ สื่อ และการรับรู้ที่ถูกกำกับ
          ความขัดแย้งทางประวัติศาสตร์และพรมแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา ไม่ได้ดำรงอยู่เพียงแค่ในเอกสารหรือเวทีการทูต หากยังฝังรากอยู่ในความทรงจำ สะท้อนออกมาผ่านสื่อ เรื่องเล่า และวาทกรรมในสังคม การสำรวจภาพจำที่ก่อตัวขึ้นจึงเป็นอีกหนึ่งมุมสำคัญในการทำความเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ
          บทความ “Dark History: The Thai–Cambodia Temple Conflict and Thailand's Place in the World” วิเคราะห์ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชาในช่วงปี 2008–2011 โดยเสนอว่าความรุนแรงของสถานการณ์ไม่ได้เกิดจากข้อพิพาทเขตแดนเพียงอย่างเดียว หากยังสัมพันธ์กับประวัติศาสตร์บาดแผลที่ฝังอยู่ในสังคมไทย โดยเฉพาะคำตัดสินของศาลโลก ที่ยังคงเป็นจุดอ่อนไหวในความทรงจำร่วม เหมือนถ่านไฟเก่าที่ถูกกระตุ้นให้ลุกโชนอีกครั้งภายใต้บริบทการเมืองภายใน
          ในแง่ของการสื่อสารสาธารณะ วิทยานิพนธ์ “อุดมทรรศน์เกี่ยวกับ “เขมร” ในปริจเฉทหนังสือพิมพ์ไทย : กรณีเหตุจลาจลเผาสถานทูตไทยในกัมพูชา พ.ศ. 2546” วิเคราะห์การนำเสนอข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ไทยช่วงวิกฤตการณ์ดังกล่าว ผลการศึกษาชี้ให้เห็นการใช้ถ้อยคำและกลวิธีทางภาษาในการสร้างภาพของกัมพูชาในเชิงลบ เช่น การสื่อถึงความป่าเถื่อน ความพึ่งพิง หรือความไม่น่าไว้วางใจ ภาพเหล่านี้สะท้อนกรอบความคิดชาตินิยมที่เน้นการเปรียบเทียบเชิงลำดับระหว่าง “ชาติเรา” และ “ชาติเขา”
          ในอีกด้านหนึ่ง สื่อกัมพูชาก็มีบทบาทคล้ายกัน งานวิจัย “CAMBODIAN NEWSPAPER' S REPORTING ON TERRITORIAL DISPUTESWITH THAILAND AND VIETNAM” วิเคราะห์การเสนอข่าวในช่วงการเลือกตั้งของกัมพูชา โดยพบว่าข้อพิพาทเกี่ยวกับปราสาทพระวิหารมักถูกหยิบมาใช้เป็นเครื่องมือปลุกกระแสชาตินิยมในประเทศ การศึกษานี้สะท้อนให้เห็นว่าสื่อทั้งสองฝ่ายต่างมีบทบาทในการผลิตซ้ำและขับเน้นความรู้สึกทางการเมืองและประวัติศาสตร์ ซึ่งยังคงส่งอิทธิพลต่อการรับรู้และท่าทีของประชาชนในแต่ละประเทศ
 
สังคมและการเมืองกัมพูชาร่วมสมัย
          แม้ประเด็นประวัติศาสตร์ และข้อพิพาทชายแดนจะยังคงมีอิทธิพลต่อความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชา แต่การทำความรู้จักกัมพูชาในปัจจุบันจำเป็นต้องมองให้กว้างขึ้น ครอบคลุมถึงพลวัตทางสังคม การเมือง และศิลปวัฒนธรรม ที่เปลี่ยนแปลงท่ามกลางบริบทหลังสงครามและโลกาภิวัตน์
          กัมพูชาเผชิญความรุนแรงทางการเมืองมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงสงครามกลางเมือง หรือบางครั้งเรียกว่าการปฏิวัติเขมร ความขัดแย้งไม่ได้จบลงทันทีหากแต่ดำเนินต่อในรูปแบบของการต่อสู้ระหว่างกลุ่มกบฏต่าง ๆ กับรัฐ และทิศทางของประเทศในยุคหลังความรุนแรงนั้นยังคงได้รับอิทธิพลจากอดีต
          หนังสือ “The Social Order of Post conflict Transformation in Cambodia: Insurgent Pathways to Peace” ศึกษาประวัติศาสตร์ความขัดแย้งดังกล่าว โดยมุ่งวิเคราะห์ภูมิหลังของนักรบและผู้บัญชาการจากกลุ่มติดอาวุธต่าง ๆ เพื่อทำความเข้าใจว่าหนทางสู่สันติภาพถูกหล่อหลอมอย่างไรจากประสบการณ์ ความเชื่อ และความสัมพันธ์ทางสังคมของพวกเขา หนังสือเล่มนี้เสนอแนวคิดใหม่ต่อกระบวนการลดอาวุธ ปลดประจำการ และส่งตัวกลับ (Disarmament, Demobilization, and Reintegration – DDR) โดยเน้นว่าหากต้องการสันติภาพที่ยั่งยืน ปัจจัยทางสังคมมีบทบาทสำคัญไม่น้อยกว่ากลไกทางเทคนิค การศึกษานี้ยังให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับสภาพสังคมของกลุ่มก่อความไม่สงบที่เข้าร่วมสงครามกลางเมืองหลังการล่มสลายของระบอบเขมรแดงในปี 1979 ซึ่งยังคงส่งอิทธิพลอย่างลึกซึ้งต่อการเมืองกัมพูชาจนถึงปัจจุบัน
          มิติของความขัดแย้งและการปรับตัวในกัมพูชายังสะท้อนผ่านชีวประวัติของผู้นำทางการเมืองที่มีบทบาทสูงสุดอย่าง “ฮุน เซน” หนังสือ Strongman: The Extraordinary Life of Hun Sen ถ่ายทอดประวัติชีวิตของเขาตั้งแต่วัยเยาว์ ชะตากรรมพลิกผันของครอบครัว ไปจนถึงชีวิตส่วนตัวกับคู่ครอง บุน รานี ทั้งยังวิเคราะห์เส้นทางการเข้าร่วมกองกำลังเขมรแดง บทบาทรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ไปจนถึงการขึ้นสู่อำนาจสูงสุด ฮุน เซน จึงเป็นสัญลักษณ์หนึ่งของการเปลี่ยนผ่านจากระบอบปฏิวัติ สู่รัฐที่มีโครงสร้างอำนาจแบบใหม่ ซึ่งหลายครั้งถูกวิพากษ์ในเรื่องประชาธิปไตยและสิทธิเสรีภาพ
          ในบริบทของการสร้างประชาธิปไตย หนังสือ Intervention & Change in Cambodia: Towards Democracy? โดย Sorrpong Peou นำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับความพยายามอันไม่ราบรื่น การล้มลุกคลุกคลาน และความไม่แน่นอนของกัมพูชาในการก้าวสู่ระบอบประชาธิปไตยตลอดช่วงห้าทศวรรษที่ผ่านมา Peou วิเคราะห์พัฒนาการด้านประชาธิปไตย ในช่วงระหว่างปี 1954–1998 และประเมินผลกระทบจากการแทรกแซงของต่างชาติที่มีต่อโครงสร้างรัฐและสังคมของกัมพูชา ในบทสุดท้าย Peou ได้สรุปข้อค้นพบของตนในเชิงทฤษฎี และปิดท้ายด้วยภาคผนวกซึ่งรวมเอกสารสำคัญ อาทิ สนธิสัญญาสันติภาพปารีส (ปี 1991) รัฐธรรมนูญ และกฎหมายการเลือกตั้ง
” หนังสือ Strongman The Extraordinary Life of Hun Sen, ประชาธิปไตย หนังสือ Intervention & Change in Cambodia: Towards Democracy? โดย Sorrpong Peou
          นอกจากมุมการเมืองและสงคราม การทำความเข้าใจกัมพูชาร่วมสมัยยังต้องพิจารณามิติทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมร่วมด้วย หนังสือ The Handbook of Contemporary Cambodia ทำหน้าที่เป็นแหล่งข้อมูลครอบคลุมที่รวมบทวิเคราะห์จากหลากหลายสาขาวิชา ช่วยให้เห็นภาพชีวิตของประชาชนที่เปลี่ยนแปลงไปภายใต้เงื่อนไขโลกาภิวัตน์
          ในอีกด้านหนึ่ง "Cultural Renewal in Cambodia : academic activism in the neoliberal era" เปิดพื้นที่ให้เราเห็นการฟื้นฟูทางวัฒนธรรมในสังคมหลังความขัดแย้ง โดยชี้ให้เห็นบทบาทของโครงการวิชาการและองค์กรอิสระในกัมพูชา ซึ่งพยายามนำเสนอกระบวนทัศน์การพัฒนาแบบทางเลือก อย่างไรก็ตาม ความพยายามนี้กลับต้องเผชิญกับข้อจำกัดบนกรอบแนวคิดแบบเสรีนิยมใหม่ (Neoliberal Framework) ที่ผู้ให้ทุนและสถาบันจากประเทศซีกโลกเหนือ (Global North) มักมีบทบาทครอบงำในนามของความช่วยเหลือต่อประเทศซีกโลกใต้ (Global South)
          อีกประเด็นที่ไม่อาจมองข้าม คือการเข้าใจความเปลี่ยนแปลงของกัมพูชาปัจจุบันในฐานะประเทศที่ผ่านพ้นสงคราม จำเป็นต้องมองลึกไปถึงระดับความทรงจำร่วมของสังคม หนังสือ Landscape, Memory and Post-Violence in Cambodia เสนอแนวคิดเกี่ยวกับภาวะหลังความรุนแรง ที่ชี้ให้เห็นว่าบาดแผลจากสงครามไม่ได้จบลงพร้อมกับเสียงปืน หากแต่ยังคงปรากฏอยู่ในภูมิทัศน์ วัฒนธรรม และพิพิธภัณฑ์ที่เป็นพื้นที่ของการต่อสู้เชิงความทรงจำ หนังสือเล่มนี้ชวนตั้งคำถามว่ารัฐกำลังเลือกเล่าเรื่องอดีตอย่างไร โดยยกตัวอย่างกรณีเนื้อหาที่นำเสนอในพิพิธภัณฑ์การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ตวลสเลง และทุ่งสังหาร และชวนมองต่อว่าประชาชนมีกี่ทางเลือกในการบอกเล่าความทรงจำของตนเอง
Book-Cultural Renewal in Cambodia : academic activism in the neoliberal era and Book-หนังสือ Landscape, Memory and Post-Violence in Cambodia
วรรณกรรมและศิลปะ เล่าขานอดีตและจินตนาการถึงอนาคต
          นอกเหนือจากการฟื้นฟูโครงสร้างรัฐและสังคมหลังความรุนแรงแล้ว กัมพูชายังมีพัฒนาการทางศิลปะและวรรณกรรมที่น่าสนใจ ซึ่งไม่เพียงเป็นเครื่องมือในการเยียวยาบาดแผลจากสงคราม หากยังกลายเป็นเวทีสำคัญในการตีความอดีตและกำหนดทิศทางข้างหน้า
          หนังสือ “วรรณมาลิน อักษรศิลป์กัมพุช: รวมบทความว่าด้วยวรรณกรรมสมัยใหม่ของกัมพูชา” คือหลักฐานสำคัญที่ชี้ให้เห็นว่างานเขียนไม่ได้เป็นเพียงผลผลิตทางวรรณศิลป์ แต่ยังสะท้อนแรงปะทะของอุดมการณ์ การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง และความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน รวมถึงภาพลักษณ์ของไทยในงานวรรณกรรมกัมพูชา
          มิติของวรรณกรรมยังเผยให้เห็นการต่อรองเชิงอัตลักษณ์ โดยเฉพาะเรื่องเพศภาวะ วิทยานิพนธ์ “แนวคิดเรื่องกุลสตรีในนวนิยายของนักเขียนสตรีเขมร” ศึกษาการนิยามและนำเสนออุดมคติความเป็นหญิงในบริบทหลังสงคราม โดยเปรียบเทียบนวนิยายของ เมา สำณาง และ ปัล วัณณารีรักษ์ ซึ่งแสดงให้เห็นพัฒนาการของแนวคิดกุลสตรีที่ผันแปรไปตามเงื่อนไขทางสังคมและประวัติศาสตร์
          ขณะเดียวกัน บนเวทีศิลปะร่วมสมัยระดับภูมิภาค “South East Asian Art: A New Spirit” นำเสนอศิลปะจาก 9 ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงกัมพูชา โดยแสดงให้เห็นพลังของศิลปะในฐานะพื้นที่สร้างสรรค์ที่ผสานความทรงจำทางประวัติศาสตร์เข้ากับจินตนาการใหม่ทางวัฒนธรรม งานศิลปะของศิลปินกัมพูชาหลายรายตั้งคำถามต่ออดีตและสะท้อนถึงความหวังในอนาคต
          อีกแง่มุมของศิลปะร่วมสมัยที่น่าสนใจคือวงการภาพยนตร์ โดยเฉพาะหนังผีซึ่งเป็นที่นิยมทั้งในและนอกภูมิภาค หนังสือ “Ghost Movies in Southeast Asia and Beyond” มีเนื้อหาว่าด้วยการวิเคราะห์หนังผีในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มิได้มีเพียงหน้าที่ให้ความบันเทิงหรือสะท้อนความเชื่อเรื่องภูตผี แต่ยังทำหน้าที่เป็นพื้นที่ความทรงจำทางสังคม การจัดการกับอดีต และการปะทะกันระหว่างศรัทธาแบบดั้งเดิมกับโลกสมัยใหม่
          บทความนี้นำเสนอทรัพยากรสารสนเทศบางส่วนจากห้องสมุด โดยเฉพาะจาก Thailand and ASEAN Information Center (TAIC) เพื่อเปิดมุมมองต่อความสัมพันธ์ไทย–กัมพูชาในหลายมิติ ตั้งแต่กระบวนการทางกฎหมาย การทูต ภาพจำในสื่อ ไปจนถึงการเปลี่ยนแปลงภายในของสังคมกัมพูชา
          ไม่ใช่ทุกประเด็นจะมีคำตอบที่ชัดเจน แต่การเปิดพื้นที่ให้ศึกษาข้อมูลเหล่านี้ คือจุดเริ่มต้นของการมองเห็นความหลากหลาย และอาจช่วยให้เราตั้งคำถามใหม่ ๆ ทั้งต่อ “เขา” และ “เรา” เพราะห้องสมุดคือพื้นที่กลางของการเรียนรู้ และการเข้าถึงข้อมูลอย่างรอบด้านคือกุญแจสำคัญสู่การอยู่ร่วมกันอย่างรู้เท่าทัน
 
          ฐานข้อมูลของ TAIC ยังมีทรัพยากรอีกมากให้สำรวจ ทั้งในเชิงประวัติศาสตร์ การเมือง วัฒนธรรม และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในบริบทไทยและอาเซียน ซึ่งสามารถเป็นแหล่งข้อมูลสำคัญสำหรับการค้นคว้า วิจัย หรือทำความเข้าใจประเด็นเหล่านี้ด้วยมุมมองที่ลึกและกว้างกว่าเดิม
 
Reference document
คำสำคัญ : ASEAN and Regional Actors in the Indo-Pacific, ASEAN, Indo-Pacific, diplomacy, การเมือง, socialist, สังคมศึกษา, political, social studies, Southeast Asia, Thailand, Cambodia, กัมพูชา, book, TAIC Chula Library, TAIC Chula, Chulalongkorn University, new arrivals, ASEAN, Chula Library, geopolitical, foreign policy

views 500