Page 38 - Newsletter_01_2567
P. 38
36
อันวิทยาความคิดเหมือนอาวุธ จะให้ประเสริฐเราสุดต้องเรียนแบบใด
ก้องเวหา อินทรนุช
ด้วยโอกาสดีศกใหม่ในวันครูแห่งชาติ 16 มกราคมที่เวียนกลับมาบรรจบครบรอบ 67 ปี พวกเราจึงขอประนมกร
น้อมรำลึกถึงพระคุณที่สามผู้ซึ่งอุทิศตนเหนื่อยยากในการประสิทธิ์ประสาทวิชาการให้แก่เรามา เมื่อพิจารณาความ
เหนื่อยยากเหล่านั้น หนึ่งในงานหินที่คุณครูทั้งหลายจำต้องมองให้ขาด นั่นก็คือ การจำแนกสไตล์การเรียนของ
ผู้เรียนแต่ละคนว่าเป็นแบบใด โดยหลัก ๆ จะมี 3 แบบที่พบเห็นได้บ่อย ได้แก่ การเรียนผ่านภาพ (visual
learning) การเรียนผ่านการฟัง (auditory learning) หรือการเรียนผ่านการสัมผัส (kinesthetic learning)
การจำแนกสไตล์การเรียนส่งผลต่อผู้เรียนอย่างไรล่ะ?
หากจะกล่าวอย่างง่าย ๆ ก็คือ การจำแนกจะช่วยให้ผู้สอนสามารถทราบได้ว่านักเรียนจะได้รับประโยชน์สูงสุดใน
เนื้อหาการเรียนแบบใด คนที่เรียนผ่านการฟังจะสามารถจดจำและเข้าใจได้ดีที่สุดผ่านการอธิบายปากเปล่ามากกว่า
การโยนเนื้อหาให้อ่านเอง ในทางตรงข้ามคนที่เรียนผ่านภาพจะชอบการอ่านหนังสือจึงเหมาะกับการเรียนการสอน
ที่ผ่าน ๆ มามากที่สุด ส่วนในคนที่เรียนแบบผ่านการสัมผัสมักจะชอบหยิบชอบจับเป็นชีวิตจิตใจแทนที่จะปล่อย
พวกเขาให้นั่งฟังนั่งอ่านหนังสือ ลองสร้างกิจกรรมที่ให้พวกเขาได้ขยับเขยื้อนหรือลงมือทำเองจะตอบโจทย์
มากกว่า
แล้วรูปแบบใดจึงจะตอบโจทย์ผู้เรียนทุกคน?
แน่นอนว่าคงไม่มีสูตรสำเร็จตายตัวที่จะตอบโจทย์ผู้เรียนได้ทุกคน แต่ก็ใช้ว่าจะไม่มีทางเลยเสียทีเดียว วิธีการที่
ผู้สอนมักใช้กันคือการสร้างกิจกรรมที่จำเป็นมีการรับรู้ที่หลากหลาย เช่น การปล่อยให้นักเรียนสามารถขยับได้ทั่ว
ห้องเรียนแต่สอดแทรกเนื้อหาที่ต้องใช้ทั้งการมองและการฟัง กิจกรรมแบบนี้จะช่วยให้ผู้เรียนจัดการกับเนื้อหาใน
รูปแบบที่ตนเองถนัด และผู้สอนก็ยังสามารถผลักดันผู้เรียนแต่ละคนได้อย่างเหมาะสมยามที่พวกเขาร้องขอ
คงจะเห็นแล้วว่าหน้าที่ของคุณครูต้องอุทิศตนอย่างหนักเพื่อให้ผู้เรียนได้รับประโยชน์สูงสุด ดังนั้น หวังว่าเรา ๆ
เหล่าผู้เรียนจะตั้งใจเรียนอย่างน้อยเพื่อที่คุณครูจะได้เหนื่อยน้อยลงนิดนึง